สาระน่ารู้

ความสำคัญและประโยชน์ของเห็ดหลินจือ

ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา มีนักวิชาการหลายประเทศได้ทำการวิจัยเห็ดหลินจือ อย่าง
กว้างขวาง มีเอกสารวิชาการที่เผยแพร่ออกมามากกว่าร้อยฉบับ ทั้งด้านการศึกษาองค์ประกอบทาง
เคมี สารออกฤทธิ์ สรรพคุณทางยา มีการทดลองในห้องปฏิบัติการและรายงานเชิงสถิติทางการแพทย์
ในการรักษาโรค ซึ่งพบว่ามีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็ง การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค การรักษาอาการแพ้ การ
บำรุงตับ การกำจัดพิษ การรักษาโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน การลดไขมันในเลือด การบรรเทาปวด ลดการอักเสบ ไปจน
กระทั่งการชะลอความแก่ โดยเฉพาะการตรวจสอบทางพิษวิทยาพบว่าเป็น สารสมุนไพรที่มีความปลอดภัย ไม่มีอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด
มีองค์กรต่างๆ ในไทยให้ความสนใจศึกษา ทั้งสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมวิทยาศาสตร์บริการ
คณะแพทย์ศาสตร์ต่าง ๆ และทางองค์การเภสัชกรรม ได้ผลิตเป็นยาเม็ดสำเร็จรูปเพื่อสะดวกในการบริโภค ศูนย์ความร่วมมือทางการแพทย์ไทย-จีน กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขได้ให้การสนับสนุนในการประสานงานให้มีพัฒนาการทางวิชาการของเห็ดหลินจือ ตามหลักวิทยาศาสตร์การ
แพทย์ ส่งเสริมศึกษาวิจัยอย่างมีขั้นตอนและเป็นระบบ การสนับสนุนการใช้สมุนไพรเพื่อส่งเสริม และทดแทนการใช้ยาแผนปัจจุบัน เป็นการช่วยลดดุลการนำเข้ายาจากต่างประเทศอย่างไรก็ตาม เห็ดหลินจือเป็นเพียงส่วนหนึ่งในพืชสมุนไพรหลายอย่างที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่สามารถที่จะรักษาอาการป่วยได้ทุกโรค การใช้จึงควรมีวิจารณญาณ มีเหตุมีผล มีความรู้ ความ
ข้าใจ สรรพคุณและวิธีการใช้ ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้อง และติดตามผลอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ป่วย หรือผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ลักษณะทางชีววิทยาและสัณฐานวิทยาของเห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือเป็นราขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในอาณาจักรรา ไม่มีคลอโรฟิลล์ จึงไม่สามารถ
สังเคราะห์อาหารจากแสงแดดได้เหมือนพืชทั่ว ๆ ไป ต้องดำรงชีพโดยการได้รับสารอาหารจากสิ่งแวด
ล้อม ซึ่งมักเป็นซากพืช เช่น ขอนไม้ เห็ดจะปล่อยน้ำย่อยออกมาย่อยสลายวัสดุรองรับที่เป็นอาหารแล้ว
ดูดซึมเข้าสู่เซลล์ วัสดุรองรับตามธรรมชาติ หรือวัสดุเพาะเลี้ยง จึงมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต
ขอขอบคุณข้อมูลจาก(สุรพล และชวลิต, 2539)
สมัครสมาชิกนีโอไลฟ์"คลิ้ก"

7 วิธีชะลอโรคความจำเสื่อม

แม้ว่าอัลไซเมอร์จะเป็นโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาหาย แต่การเฝ้าระวังก็จะช่วยป้องกัน ลดโอกาสการเป็นโรคอัลไซเมอร์ รวมถึงทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ดังคำแนะนำของ พ.อ.(พ)รศ.นพ. สามารถ นิธินันทน์ อายุรแพทย์ด้านประสาทวิทยาต่อไปนี้

ใส่ใจอาการหลงลืมตามวัย คนปกติจะเริ่มมีอาการหลงลืมตามวัย เมื่ออายุย่างเข้า 30-50 ปี และเมื่อเวลาผ่านไป บางคนอาจจะมีอาการหลงลืมมากขึ้นจนเข้าสู่ภาวะหลงลืมที่ไม่รุนแรง โดยผลจากการทำวิจัยในปี 2546 ที่มีการเก็บข้อมูลกับคนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปใน 23 จังหวัด พบว่า มีคนไทยร้อยละ 11 ที่มีภาวะนี้ รวมถึงมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มประมาณขึ้นเป็นร้อยละ 15 ในปี พ.ศ. 2563 หรือในอีก 9 ปีข้างหน้า ซึ่งจะยิ่งส่งผลให้มีผู้ป่วยที่เป็นโรคความจำเสื่อม เพิ่มมากขึ้น เพราะปกติแล้วร้อยละ 10-15 ของคนที่มีภาวะหลงลืมที่ไม่รุนแรงจะกลายเป็นโรคความจำเสื่อมในที่สุด และหนึ่งในโรคความจำเสื่อมที่พบมากที่สุดก็คือโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมยังมีอายุน้อยลงด้วย จากสมัยก่อนที่ผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมมักจะมีอายุ 70-80 ปี แต่ปัจจุบันผู้ป่วยเฉลี่ยจะมีอายุ 60 ปีปลายๆ “ด้วยเหตุนี้จึงขอแนะนำให้คนที่สงสัยว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องความจำมาปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เริ่มมีอาการ เพื่อเฝ้าระวัง หรือรับการรักษาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ซึ่งจะสามารถชะลอการเป็นโรคความจำเสื่อมได้”
      

ใส่ใจอาการซึมเศร้า  คนส่วนใหญ่มักใช้เวลา 9-10 ปี ในการพัฒนาจากอาการหลงลืมไปสู่โรคความจำเสื่อม และในระหว่างนี้ก็มีสัญญาณของโรคความจำเสื่อมให้สังเกตเห็น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืออาการซึมเศร้า เพราะปัจจุบันมีการพบหลักฐานว่าผู้ป่วยมักมีอาการซึมเศร้า หรือเป็นโรคซึมเศร้านำมาประมาณ 2 ปี ก่อนที่จะพัฒนาไปเป็นโรคความจำเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ในที่สุด ดังนั้นหากพบว่าผู้สูงอายุในบ้านเริ่มมีอาการซึมเศร้าก็ควรรีบหาทางแก้ไข ด้วยวิธีการต่อไปนี้

-อย่าปล่อยให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างเดียวดาย เนื่องจากปัจจุบันคนรุ่นใหม่นิยมแยกไปอยู่ตามลำพังเป็นครอบครัวเล็กๆ ทำให้ผู้สูงอายุไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย ต้องใช้ชีวิตกันตามลำพังมากขึ้น ดังนั้นหากไม่หมั่นไปเยี่ยมเยียน ลูกหลานก็จะไม่มีโอกาสสังเกตเห็นอาการซึมเศร้าซึ่งเป็นสัญญาณเตือนภัยสำคัญตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ทำให้กว่าจะทราบว่าผู้สูงอายุเป็นโรคความจำเสื่อมก็มีอาการมากแล้ว ที่สำคัญการใช้ชีวิตกันตามลำพังยังทำให้ผู้สูงอายุมีชีวิตที่เงียบเหงา ขาดการทำกิจกรรมที่จะช่วยเพิ่มสีสันให้ชีวิต หรือเพิ่มความกระฉับกระเฉงให้กับร่างกาย สมอง และจิตใจ ซึ่งเพิ่มโอกาสที่ผู้สูงอายุจะเป็นโรคความจำเสื่อมมากขึ้น 

-อย่าให้การสื่อสารล้มเหลว คนรุ่นใหม่มักจะให้ความสนใจกับเครื่องมือสื่อสารไฮเทคอย่างสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ต่างๆ มากกว่าคนที่อยู่รอบๆ ตัว ตรงข้ามกับผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาในการใช้อุปกรณ์สื่อสารยุคใหม่ เนื่องจากใช้ไม่เป็น หรือใช้ไม่ได้เพราะมองไม่เห็น เพราะตัวหนังสือมีขนาดเล็ก ดังนั้นหากลูกหลานในบ้านมัวแชท เล่นบีบี ก็จะทำให้ผู้สูงอายุที่อยู่ภายในบ้านเกิดความรู้สึกแปลกแยกหรือรู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง เพราะไม่มีใครคุยด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลให้ผู้สูงอายุไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยสุงสิง ไม่อยากดูทีวี ไม่อ่านหนังสือ นั่งเฉยๆ และเริ่มแยกตัว อันเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคความจำเสื่อมดังได้กล่าวไปแล้ว ฉะนั้นหากลูกหลานสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ก็ควรหันมาให้ความสนใจ ให้เวลา หรือพาไปเที่ยวนอกบ้าน พาไปเยี่ยมญาติ เยี่ยมเพื่อน เพราะการได้เจอะเจอกับผู้คนจะช่วยให้อาการหงอยเหงาซึมเศร้าดีขึ้น
-ถึงแม้ว่าการพูดคุยจะช่วยให้คลายเหงาได้ แต่การพูดคุยกับผู้สูงอายุก็ต้องมีเทคนิคที่ถูกต้อง มิฉะนั้นแล้วอาจทำให้ผู้สูงอายุเกิดอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาแทน โดยควรพูดด้วยประโยคสั้นๆ ก็อาจจะทำให้ผู้สูงอายุลืมไปแล้วว่า ต้นประโยคที่เราพูดไปคืออะไร และอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุบางคนถามเรื่องเดิมซ้ำๆ เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ลูกหลานพูด จึงต้องจำไว้ว่าการสื่อสารกับผู้สูงอายุต้องสั้น กระชับ ได้ใจความ

ใส่ใจพันธุกรรม  ประมาณร้อยละ 5 ของผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ มักจะมีประวัติคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคนี้มาก่อน ฉะนั้นคนที่มีคุณพ่อคุณแม่เป็นอัลไซเมอร์แล้วสงสัยตัวเองว่าจะเป็นหรือไม่ ก็อาจจะต้องไปปรึกษาแพทย์ ตั้งแต่ตอนอายุ 40 ปีกว่าๆ เพราะวิทยาการแพทย์ปัจจุบันสามารถบอกได้ว่าคุณเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือไม่จากการตรวจเลือด ซึ่งหากพบยีนแอโพไลโปโปรตีน คุณก็อาจจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์สู

 
 ใส่ใจในการบริหารสมอง  การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอถือว่าเป็นเรื่องพื้นฐานสำคัญในการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันโรคความจำเสื่อม โดยในส่วนของการออกกำลังกายนั้นควรทำวันละ 30 นาที และควรเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ใช่การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน อย่างการซักผ้า ถูบ้าน ทำกับข้าว นอกจากนี้การบริหารสมองเป็นประจำยังเป็นวิธีการช่วยป้องกันการเกิดโรคความจำเสื่อมได้ดี โดยผู้สูงอายุสามารถบริหารสมองด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้
การท่องบทสวดมนต์ นอกจากการท่องบทสวดมนต์จนจำได้จะเป็นการฝึกสมองแล้ว เสียงสูงๆ เสียงต่ำๆ จากการสวดมนต์ยังทำให้สมองทำงานได้ดีด้วย รวมถึงทำให้เกิดสมาธิ

การร้องเพลง เสียงสูงๆ ต่ำๆ จากบทเพลงจะส่งผลให้สมองทำงานได้ดีเช่นเดียวกับการสวดมนต์
การฝึกความจำด้วยการหาความสัมพันธ์ อย่างเช่น หากมีคนแนะนำให้รู้จักกับคนใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อนเราควรจะฝึกจำชื่อของเขาด้วยการหาความสัมพันธ์กับส่วนอื่นๆ เช่น คุณราตรีมีคิ้วแบบนี้ ครั้งหน้าถ้าเราเจอคนคิ้วแบบนี้ก็จะจำได้ว่าคือคุณราตรี หรือถ้าเจอป้ายโฆษณาก็อาจจะต้องหาว่าป้ายนี้มีอะไรแปลกๆ ที่น่าจดจำนอกจากชื่อสินค้า ซึ่งการฝึกอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะเป็นการช่วยฝึกสมองในชีวิตประจำวันที่ดี
ใส่ใจความสะอาดและปลอดภัย  สำหรับการดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ผู้ดูแลควรให้ความสำคัญกับเรื่องความสะอาดและความปลอดภัย โดยในส่วนของความสะอาดนั้นควรเน้นเรื่องความสะอาดรอบๆ ตัว และความสะอาดของร่างกาย เพราะผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มักจะเสียชีวิตจากโรคอื่นๆ เช่น ติดเชื้อในปอด กระเพาะปัสสาวะอักเสบ น้ำท่วมปอด สำหรับเรื่องความปลอดภัย ก็อย่างเช่นการปรับสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้มีความปลอดภัยมากที่สุด เช่น การหุ้มขอบโต๊ะ ขอบเตียงให้ให้ไม่มีเหลี่ยม มุม เพื่อลดความรุนแรงหากผู้ป่วยหกล้ม ปรับพื้นให้เรียบ เพื่อป้องกันการหกล้ม รวมถึงระวังเรื่องสวิทซ์ไ ของร้อน ของมีคม เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยได้รับอันตรายโดยไม่คาดฝัน และหากต้องพาผู้ป่วยออกจากบ้าน เช่น ไปพบแพทย์ ก็ต้องดูแลไม่ให้ผู้ป่วยพลัดหลง และควรต้องเขียนชื่อเบอร์โทรศัพท์ของญาติใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อของผู้ป่วย เพื่อคนที่พบเห็นจะได้ติดต่อญาติได
ใส่ใจดูแลตนเอง  ข้อนี้เป็นคำแนะนำสำหรับคนที่ต้องทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยอับไซเมอร์ ซึ่งมักมีอาการ 3 อย่างคือ ความจำเสื่อม อารมณ์แปรปรวน และพฤติกรรมที่คาดไม่ถึง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ดูแลอาจจะเกิดความเครียดได้ ดังนั้นผู้ดูแลจึงต้องประเมินดูว่า ตัวเองสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ หากไม่ได้ก็ต้องหาคนช่วย หรือไปปรึกษาแพทย์เพื่อขอวิธีการแก้ไข
ใส่ใจในการตรวจคัดกรอง   ปัจจุบันตามโรงพยาบาลจะมีแบบทดสอบเพื่อให้ในการคัดกรองว่าผู้ป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมหรือไม่      ผู้แต่ง: นิตยสาร HealthToday

สนใจผลิตภัณฑ์นีโอไลฟ์"คลิ้ก"

โรคเก๊าท์ เกิดได้ยังไง, ยูริค คืออะไร


 โรคเก๊าท์ เป็นโรคที่เป็นกันมากขึ้นในคนไทย โดยเฉพาะผู้ชาย และค่อนข้างมีอายุหน่อย ทางการแพทย์รู้จักเก๊าท์มานานแล้ว แต่จนปัจจุบัน ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อโรคนี้อยู่มาก ทั้งตัวแพทย์ผู้รักษาเอง และผู้ป่วย นำมาซึ่งความเชื่อผิด ๆ อยู่ให้เห็นในปัจจุบันเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคที่เกิดจากร่างกายมียูริคสูงอยู่ในเลือดเป็นเวลานาน และด้วยคุณสมบัติของยูริคเอง ที่มีการละลายได้จำกัด (ประมาณ 7 มก./ดล.) ทำให้ยูริคส่วนเกินนี้ เกิดการตกตะกอนในร่างกาย ที่พบมากและทำให้เกิดอาการคือ ในข้อต่าง ๆ, ในไต และเมื่อเป็นเรื้อรัง จะเห็นการตกตะกอนตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ เห็นเป็นปุ่มก้อนตามแขนขาได้กรดยูริค (Uric acid) เป็นผลผลิตจากการสลายสารพิวรีน (purine) ซึ่งเป็นสารสำคัญในการสร้างสาย DNA ในเซลล์ต่าง ๆ ดังนั้นการสลายเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มี DNA จะได้กรดยูริค เสมอ
ทำไมเก๊าท์มีแต่ผู้ชาย อายุมาก, ผู้หญิงไม่เป็นโรคนี้หรือ ?
เนื่องจากภาวะกรดยูริคในเลือดที่สูงนั้น จะยังไม่เกิดการตกตะกอนและเกิดข้ออักเสบทันที แต่ต้องใช้ระยะเวลา ที่กรดยูริคในเลือดสูงเป็นเวลานานหลายสิบปี พบว่าในผู้ชายที่มีกรดยูริคสูงนั้น ระดับของยูริคในเลือด จะเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น และสูงไปนาน จนกว่าจะเริ่มมีอาการ คืออายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป ส่วนผู้หญิงระดับยูริค จะเริ่มสูงขึ้นหลังจากวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิง มีผลทำให้ยูริคในเลือดไม่สูงพบว่ายูริคในเลือดที่สูงนั้น กว่าร้อยละ 90 เกิดจากการสร้างขึ้นในร่างกายเอง อาหารเป็นแหล่งกำเนิดของยูริคในเลือดน้อยกว่าร้อยละ 10 เสียอีก ดังนั้นผู้ที่ไม่มียูริคสูงมาก่อน การกินอาหารที่มีพิวรีนสูง จึงไม่มีทางทำให้ระดับยูริคสูงได้ค่ะ

ปวดข้อแล้วไปเจาะเลือดพบว่ายูริคสูง แสดงว่าเป็นเก๊าท์, ถ้ายูริคไม่สูง ไม่ใช่เก๊าท์ ?
-ถ้าอาการปวด บวม แดง ร้อน ที่ข้อไม่ชัดเจน ถ้าเป็นที่ข้อบริเวณเท้า แล้วผู้ป่วยเดินได้สบาย แม้ว่าเจาะเลือดแล้วยูริคสูง ก็ให้สงสัยว่าไม่ใช่ เก๊าท์
เก๊าท์ รักษาได้หายขาด จริงหรือ ? ต้องทำยังไง ?จริงค่ะถ้าเรายอมรับว่า ผู้ป่วยที่รักษาแล้ว ไม่มีอาการปวดข้ออีกเลยตลอดชีวิต เรียกว่าหายผู้ป่วยโรคเก๊าท์ จำเป็นต้องได้รับการรักษาเป็น 2 ระยะ ในความดูแลของแพทย์ ได้แก่
-ถ้ามีอาการปวด บวม แดง ร้อนที่ข้อชัดเจน เป็นในตำแหน่งข้อเท้า ข้อนิ้วหัวแม่เท้า เป็นเร็ว แม้ว่าจะเจาะยูริคแล้วไม่สูง ก็น่าจะเป็นเก๊าท์ ค่ะ
-การรักษาในระยะเฉียบพลัน คือ ข้ออักเสบ โดยใช้ยาลดการอักเสบที่นิยมได้แก่ ยา โคลชิซิน (Colchicine) กินวันละไม่เกิน 3 เม็ด (เช่น 1 เม็ดหลังอาหาร 3 มื้อ) จะทำให้ผู้ป่วยหายจากข้ออักเสบในเวลา 1-2 วัน อาจทำให้ข้ออักเสบหายเร็วขึ้น ถ้าใช้ร่วมกับยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์   บางครั้งอาจมีผู้แนะนำให้กินยาโคลชิซิน 1 เม็ด ทุกชั่วโมง จนกว่าจะหายปวด หรือจนกว่าจะท้องเสีย ซึ่งไม่แนะนำ เพราะผู้ที่กินยานี้ จะท้องเสียก่อนหายปวดเสมอ
-การรักษาระยะยาว โดยใช้ยาลดกรดยูริคในเลือด โดยถือหลักการว่า ถ้าเราลดระดับยูริคในเลือดได้ ต่ำกว่า 7 มก./ดล. จะทำให้ยูริคที่สะสมอยู่ละลายออกมา และขับถ่ายออกจนหมดได้ ยาที่นิยมใช้ได้แก่ ยา อัลโลพูรินอล (Allopurinol) ขนาด 100-300 มก. กินวันละครั้ง   ซึ่งยานี้ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง กินยาสม่ำเสมอ และกินไปนานอย่างน้อย 3-5 ปี เพื่อกำจัดกรดยูริคให้หมดไปจากร่างกาย การกิน ๆ หยุด ๆ จะทำให้แพ้ยาได้ง่าย ซึ่งเป็นผื่นผิวหนังชนิดรุนแรง
อยากชะลอความแก่ด้วยผลิตภัณฑ์อาหารเสริมนีโอไลฟ์"คลิ้กเลยค่ะ"
ข้อคำนึงในการรักษาได้แก่      
-ยาลดกรดยูริคมีผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ จึงสงวนไว้ใช้ในผู้ป่วยเก๊าท์เท่านั้น ผู้ที่ตรวจเลือดแล้วพบว่า ยูริคสูง โดยไม่มีอาการปวดข้อแบบเก๊าท์มาก่อน ไม่มีความจำเป็นต้องกินยานี้ เพราะผู้ที่ยูริคสูงไม่ได้เป็นเก๊าท์ทุกคน การกินยาทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงโดยไม่จำเป็น
-เมื่อมีอาการปวดข้อเกิดขึ้น อย่านวด เพราะการนวด หรือใช้ยาทาถู ทำให้อาการข้ออักเสบ เป็นนานขึ้น หายช้า
-ในผู้ที่มีอาการข้ออักเสบแบบเก๊าท์ เป็นครั้งแรก ไม่จำเป็นต้องเริ่มยาลดยูริคตั้งแต่แรก เพราะผู้ป่วยส่วนหนึ่ง มีอาการข้ออักเสบ เพียงครั้งเดียวในชีวิต และไม่เป็นอีก และพบว่าการเริ่มกินยาลดกรดยูริคในขณะที่ข้ออักเสบ จะทำให้ข้ออักเสบหายช้าลง
-ในผู้ป่วยที่กินยาลดกรดยูริคอยู่ อาจพบว่ามีอาการข้ออักเสบแบบเก๊าท์ได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องหยุดยา เพียงแต่รักษาข้ออักเสบตามข้างต้น และเมื่อกินยาต่อไปเรื่อย ๆ จะพบว่า ข้ออักเสบจะเป็นห่างขึ้น เป็นน้อยลง หายเร็วขึ้น จนกระทั่งไม่มีอาการข้ออักเสบอีกเลย
-หลังจากกินยาไปแล้ว 3-5 ปี อาจลองพิจารณาหยุดยาได้ ในผู้ป่วยที่อายุมาก เนื่องจากยูริคที่เริ่มสูงขึ้นหลังจากหยุดยา กว่าจะเริ่มสะสมจนเกิดข้ออักเสบนั้น กินเวลา หลายสิบปี จนอาจไม่เกิดอาการอีกเลยตลอดชีวิต
อาหารกับโรคเก๊าท์ ? / เป็นเก๊าท์ ห้ามกินสัตว์ปีก ?ไม่ห้ามค่ะ เพราะเช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ข้างต้น ยูริคที่สูงกว่าร้อยละ 90 เกิดจากร่างกายสร้างขึ้นเอง อาหารเป็นส่วนประกอบน้อยมาก ต่อระดับยูริคในเลือด มีการทดลองให้อาสาสมัคร กินอาหารที่มีพิวรีนสูง ทั้ง 3 มื้อ เช่น สัตว์ปีก, เครื่องในสัตว์, ยอดผัก, ไข่ปลา เป็นต้น เป็นเวลาหลายสัปดาห์ พบว่าระดับยูริคในเลือดสูงขึ้นเพียง 1 มก./ดล. ดังนั้นคนธรรมดาที่ไม่ได้กินแต่อาหารที่มีพิวรีนสูงอย่างเดียว จึงแทบไม่มีผลต่อระดับยูริคในเลือดเลย นอกจากนี้ ผู้ป่วยเก๊าท์มักเป็นชายวัยกลางคนหรือสูงอายุ ซึ่งอาจมีโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เบาหวาน, ความดันเลือดสูง ซึ่งจำเป็นต้องจำกัดหรืองดอาหารบางประเภทอยู่แล้ว การบอกให้ผู้ป่วยเก๊าท์งดอาหารพิวรีนสูงเหล่านี้ ทำให้ผู้ป่วยลำบากในการเลือกกินอาหารยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ป่วยเก๊าท์ที่กินยาลดยูริคอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องเลี่ยงอาหารใด ๆ อีกจะเห็นได้ว่า โรคเก๊าท์ เป็นโรคที่มีหลายคน ยังเข้าใจผิดถึงโรคและการปฏิบัติตัว ทำให้เกิดความลำบากในการรักษา และสร้างความทุกข์กับผู้ป่วยด้วย บทความนี้คงทำให้ผู้อ่านได้ประโยชน์ และยิ่งถ้าผู้ป่วยได้อ่านจะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อตนเองยิ่งขึ้นค่ะ!    เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ การวินิจฉัยโรคเก๊าท์ อาศัยประวัติและการตรวจร่างกายง่าย ๆ ค่ะ ข้ออักเสบจากเก๊าท์วินิจฉัยได้ง่าย เพราะผู้ป่วยจะมีอาการ "ปวด บวม แดง ร้อน" ที่ข้อชัดเจน เป็นเร็ว และมักเป็นข้อเดียว ข้อที่เป็นบ่อยได้แก่ ข้อนิ้วหัวแม่เท้า, ข้อเท้า, ข้อเข่า ถ้าผู้ป่วยปวดข้อ แต่สงสัยว่ามีปวด บวม แดง ร้อนหรือไม่ หรือตรวจไม่พบ ไม่ชัดเจน ให้สงสัยว่าไม่ใช่เก๊าท์ ค่ะ   รายที่เป็นเรื้อรังอาจมีปวดหลายข้อและพบมีปุ่มก้อนที่รอบ ๆ ข้อ เช่น ข้อเท้า, ส้นเท้า, ข้อมือ, นิ้วมือ ได้ ถ้าก้อนเหล่านี้แตกออกจะพบตะกอนยูริคคล้ายผงชอล์กไหลออกมา
การเจาะเลือดตรวจระดับกรดยูริคในเลือด ในช่วงที่มีข้ออักเสบอาจพบว่า สูง ต่ำ หรือเป็นปกติได้ค่ะ ดังนั้นผู้ที่มีข้ออักเสบเก๊าท์ ไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดในขณะนั้นและไม่ช่วยในการวินิจฉัยค่ะ
 ดังนั้น.. 

สนใจผลิตภัณฑ์นีโอไลฟ์"คลิ้ก"

ไม่อยากหน้าแก่ก่อนวัย เคล็ดลับดีๆ 7 วิธีแบบฉบับคุณหมอ สมัยนี้สาวๆ มีการดูแลตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องดีเลยที่เดียว แต่ถ้าใครไม่ได้ดูแลตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก วันนี้เรามีเคล็บฉบับคุณหมอมาฝากกันค่ะ
วัยรุ่นสมัยนี้รักสวยรักงาม ดูแลตัวเองกันตั้งแต่เล็กๆ … งั้นเรามาดู วิธีชลอความแก่ ดีๆ ที่คุณหมอแนะนำกันมาดีกว่านะคะ  ถ้าไม่อยากแก่ก่อนวัยลองอ่านกันดูนะจ๊ะ1.   ข้อแรก ยาแอสไพริน ช่วยให้คุณสาวขึ้นได้ แต่ต้องใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้นนะคะ จริง ๆ แล้ว สรรพคุณของยาแอสไพริน มันมีมากกว่าการแก้ปวดหัวค่ะ เพราะมันยังช่วยป้องกันโรคคนแก่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ช่วยลดความเสี่ยงโรคความจำเสื่อมและมะเร็งด้วย การรับประทานยาแอสไพรินวันละ 325 มิลลิกรัม จะช่วยชลอความร่วงโรยได้ 1.9 ปีค่ะ แต่ขอเน้นว่าปรึกษาแพทย์ก่อนใช้นะคะ 
2.  ข้อถัดมาเป็นเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ค่ะ  นอกจากคุณจะต้องพิจารณาประกอบกิจกรรมนี้ด้วยความปลอดภัยแล้ว ผู้เชี่ยวชาญเขาแนะนำว่า อยากหนุ่มอยากสาวกว่าวัย ก็ให้มีเพศสัมพันธ์สัปดาห์ละสองครั้งเป็นอย่างน้อยค่ะ ถ้าหาปฏิบัติได้ จะช่วยชลอความชราได้ 1.6 ปีค่ะ
3.  การใช้ไหมขัดฟัน  ฟังดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับความแก่เลยนะคะ แต่จริงๆแล้วเคยมีการวิจัยออกมาว่า การใช้ไหมขัดฟัน ทำให้เราสวย สดใส ดูอ่อนกว่าวัยได้ เพราะมันช่วยป้องกันโรคร้ายหลายอย่าง เช่น โรคหัวใจ ความจำเสื่อม เหงือกอักเสบ ก็แบคทีเรียบางอย่างสามารถที่จะเติบโตและพัฒนาในปากและเหงือกของเราค่ะ ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ ชลออายุได้ถึง 6.4 ปีเลยทีเดียวค่ะ
4.  เลี้ยงสัตว์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุนัข ก็ทำให้เราเป็นหนุ่มเป็นสาวได้เหมือนกันนะคะ เพราะนอกจากมันจะให้ความสุขทางใจ คอยเป็นเพื่อนเราแล้ว มันยังทำให้เรายุ่งด้วย ไหนจะอาบน้ำทำความสะอาด หาอาหารให้มันกิน หรือพามันออกไปเดินเล่นวิ่งเล่น การเลี้ยงสัตว์เนี่ย ทำให้เราต้องออกกำลังกายด้วยการเดินแบบเลี่ยงไม่ได้เลยล่ะค่ะ วิธีนี้ช่วยให้เราอ่อนวัยลงได้ 9 เดือนค่ะ
5.  การรับประทารผลบลูเบอรี่ช่วยเราได้ค่ะ  เพราะมันเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการแอนตี้ อ๊อกซิแดนท์ นอกจากจะกันแก่แล้ว ยังลดความเสี่ยงต่อมะเร็งด้วย ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่เพียงแค่บลูเบอรี่เท่านั้น ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว แต่คุณสมบัติที่ว่านี้ มีอยู่ในผลไม้ทุกชนิดค่ะ รับประทานเป็นประจำ ชลออายุได้ 1.6 ปีค่ะ
6.  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ทำให้ร่ายการของเราสมบูรณ์แข็งแรง กระฉับกระเฉงค่ะ รักษาสมดุลย์ของน้ำหนักและส่วนสูง อย่าปล่อยให้อ้วนจนเกินไป การออกกำลังกายนั้น ช่วยให้เราดูอ่อนกว่าวัยถึง 1.7 ปีค่ะ
7.  วิธีสุดท้าย ก็คือการดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ค่ะ   นักวิทยาศาสตร์แนะนำให้ดื่มวันละเล็กน้อย เช่นไวน์วันละแก้ว และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ซึ่งถ้าทำได้เราจะดูเด็กกว่าวัยไป 2.3 ปีค่ะ ในทางกลับกัน ถ้าหากเราดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์มากเกินไป นั่นจะทำให้เราแก่กว่าวัยอีกหลายเท่าตัวค่ะ
ทุกข้อที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่ว่าคุณหมอแนะนำมาแล้ว เพื่อนๆ จะหักโหมยัดเยียดสิ่งเหล่านี้เข้าร่างกายตัวเองกันนะคะ .. ยิ่งข้อสุดท้ายเนี่ย ถ้าดื่มเยอะไปอันตรายถึงชีวิตแน่นอน แค่วันละเล็กน้อยก็พอแล้วนะคะ.....
                      

โรคแทรกซ้อนต่างๆที่เกิดจากเบาหวาน

 1. แบบฉุกเฉิน
ได้แก่ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ , ภาวะช๊อกจากน้ำตาลในเลือดสูง และภาวะเป็นกรดในเลือด ซึ่งเป็นภาวะที่ผู้ป่วยและญาติต้องทราบสาเหตุ อาการและการแก้ไขเบื้องต้น เนื่องจากหากไม่ได้รับการแก้ไขให้ทันเวลาอาจจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร
2. แบบโรคแทรกซ้อนในระยะยาว
เป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากการเป็นโรคเบาหวานเป็นระยะเวลาหลายปี เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดแข็งภาวะที่พบบ่อยๆคือ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคตา โรคปลายประสาทอักเสบ โรคเบาหวานกับเท้า
ภาวะฉุกเฉินเลือดเป็นกรดจากโรคเบาหวาน

เป็นภาวะฉุกเฉินที่พบบ่อย โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่หนึ่ง เกิดจากการเสียสมดุลของอินซูลิน ซึ่งอาจจะขาดหรือน้อยไป กับฮอร์โมนต้านฤทธิ์อินซูลิน สูงขึ้นทำให้ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลสูง และมีกรดในเลือด  ซึ่งเกิดจากการคั่งของคีโตนในเลือด ซึ่งคีโตนนี้เป็นกรด จะตรวจพบในปัสสาวะหากว่าอินซูลินไม่พอ หรือคุมเบาหวานไม่ดี เกิดจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลกลูโคสเป็นพลังงานได้ จึงนำใขมันมาใช้แทนเกิดเป็นสารคีโตนซึ่งการพบคีโตนในเลือแสดงว่า
1.อินซูลินไม่พอ อาจจะเกิดจากลืมฉีด หรือภาวะที่ต้องการอินซูลินเพิ่ม เช่นเวลาเจ็บป่วย เมื่ออินซูลินไม่พอร่างกายจึงเผาไขมันเป็นพลังงาน

2.ได้อาหารไม่พอ เช่นเวลาเจ็บป่วยรับประทานอาหารไม่พอ
3.ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ร่างกายก็เผาไขมันมาใช้เป็นพลังงาน
ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดภาวะนี้
•โรคหลอดเลือดสมอง •ตับอ่อนอักเสบ •เส้นเลือดหัวใจตีบ •สุรา •ยาบางชนิด
อาการ
•คลื่นไส้ อาเจียนมาก •ปวดท้อง •คอแห้ง •กระหายน้ำ •ปัสสาวะมาก •ลมหายใจมีกลิ่นหวานของอะซีโตน และคีโตน •หายใจหอบลึก ตรวจพบคีโตนในปัสสาวะ
การป้องกัน
•ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ทั้งการควบคุมอาหาร การฉีดอินซูลิน
และการออกกำลังกาย
•ไม่ควรออกกำลังกายหากน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 240 มก.%
•ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ ตรวจหาสารคีโตนในเลือดเมื่อน้ำตาลในปัสสาวะ4บวก •ห้ามหยุดอินซูลินเมื่อเวลาป่วย

การแก้ไข
•การให้อินซูลินออกฤทธิ์ระยะสั้นเพิ่มขึ้นจากเดิม 5-10 ยูนิต ถ้าอีก 4 ชั่วโมงต่อมายังตรวจพบคีโตนอีกให้ฉีดซ้ำได้อีก
•การให้ดื่มน้ำมากๆ •การให้เกลือแร่ •การให้ด่างเมื่อมีความจำเป็น •การรักษาหรือขจัดสิ่งชักจูง

สนใจสั่งซื้อผลิคภัณฑ์นีโอไลฟ์"คลิ้กเลยค่ะ"

ประโชน์ของสารสกัดจากใบแปะก๊วยและจากเมล็ดองุ่น

 ใบแปะก๊วย มีประโยชน์หลากหลาย สารในใบแปะก๊วย มีคุณค่าในการรักษาโรคบางอย่าง โดยจะนำมาใช้ในการควบคุมการไหลเวียนของโลหิต และหลอดเลือด ให้เป็นปกติ ทั้งช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง มือ และเท้า นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการรักษาโรคหอบหืด หลอดลม อักเสบหรือตีบ โรคต้อหิน อาการปวดท้องก่อนมีประจำเดือน และภาวะหมดประจำเดือน
ใบแปะก๊วยสกัดมีสารประกอบที่มีหน้าที่เสมือนตัวจับอนุมูลอิสระหรือเป็นแอนตี้ออกซิเดนท์ (Antioxidant) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันการทำลายจากอนุมูลอิสระ ช่วยบรรเทาโรคและลดภาวะต่าง ๆ ที่มักจะพบ ในกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น โรคความจำเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ โรควิตกกังวล โรคหลงลืมในผู้สูงอายุ หน้ามืดวิงเวียนและหูอื้อ สับสน มึนงง เหนื่อยล้า ปวดหัว เป็นต้น ใบแปะก๊วย สามารถหาซื้อได้ง่าย เพราะมีขายตามท้องตลาดในรูปแบบที่หลากหลายไม่ว่าจะขายใบอบตากแห้ง หรือขายเป็นสารสกัดจากใบในรูปไฟโตโซม ( Phytosome) หรือชาแปะก๊วยที่ชงจากใบอบหรือตากแห้ง โดยมีสรรพคุณลดความเครียดและเพิ่มความแข็งแรงได้ด้วย
ถ้าใครไม่อยากเครียดและไม่อยากขี้หลงขี้ลืม ก็ลองหาใบแปะก๊วยมาทานกันนะค่ะ

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น เพื่อผิวพรรณเปล่งปลั่งและขาเนียนใสไร้เส้นเลือดขอด สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract)เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ มีฤทธิ์แรงกว่าวิตามินซี 20 เท่าและแรงกว่าวิตามินอี 50 เท่า ช่วยต่อต้านการทำลายเส้นใย คอลลาเจน และอีลาสตินในผิวหนังที่เกิดจากอนุมูลอิสระ เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินเป็นโครงสร้างหลักในผิว ทำหน้าที่ค้ำจุนและให้ความยืดหยุ่น หากถูกทำลายไปก็จะเกิดรอยเหี่ยวย่นที่มองเห็นได้ชัดเจน ส่วนเซลล์ผิวหนังในชั้นหนังกำพร้า (ชั้นนอกสุด) หากถูกทำลายจะปรากฏรอยแห้งกร้าน สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ( Grape Seed ) จึงช่วยรักษาความกระชับ เต่งตึงของผิว ขณะเดียวกันก็ป้องกันริ้วรอยหยาบกร้านได้ นอกจากนี้ในผู้ที่มีปัญหาฝ้า หรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ สารสกัดจากเมล็ดองุ่นจะสามารถช่วยลดความเข้มของสีผิวบริเวณที่ดำคล้ำลง จึงทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส
คุณสมบัติอื่น ๆ ของสารสกัดจากเมล็ดองุ่น ( Grape Seed ) ที่จะช่วยดูแลสุขภาพร่างกาย เช่น ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และเพิ่มความแข็งแรงให้กับหลอดเลือดจึงช่วยป้องกันโรคหัวใจ บรรเทาอาการมือและเท้าชา รักษาเส้นเลือดขอด ชะลอความเสื่อมของโรคจอประสาทตาเสื่อมและโรคต้อกระจก

คุณสมบัติทั่วไปของสารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract)
เป็น Super antioxidant สามารถจับกับอนุมูลอิสระได้ดี ต้านอนุมูลอิสระได้ทุกรูปแบบ และจำนวนมาก ถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหาร และลำไล้เล็กเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วภายใน 20-30 นาที จากนั้นจึงกระจายไปสู่อวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ และยังคงอยู่ภายในร่างกายได้นาน (half life 7 ชม.)
สามารถรวมตัวได้ดีกับคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของผิวหนัง หลอดเลือดและอวัยวะต่างๆ จึงทำให้เซลผิวหนังแข็งแรง ไม่เหี่ยวย่น หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดี ไม่เปราะหรือแตกง่าย สามารถผ่านแนวกั้นสมอง (blood brain barrier) ได้ จึงป้องกันสมองมิให้เสียหายจากอนุมูลอิสระ คุณสมบัติเด่นนี้ทำให้เป็น antioxidant ที่ต่างจากชนิดอื่น ๆ
ทำงานร่วมกับวิตามินซีในการทำให้คอลลาเจนทั่วร่างกายแข็งแรงขึ้น และยังช่วยป้องกันการสูญเสียวิตามินซีและอี การดูแลร่างกายสม่ำเสมอ ป้องกันโรคต่าง ๆ พร้อมกับส่งเสริมสุขภาพที่ดีของเรา ด้วยการเลือกทานสิ่งที่เป็นประโยชน์และจำเป็นต่อร่างกาย ดีกว่ารอให้ป่วยแล้วไปรักษา อาจจะสายเกินไปนะคะ     สนใจผลิตภัณฑ์นีโอไลฟ์"คลิ้กเลยค่ะ"

1 ความคิดเห็น:

  1. ท่านใดๆ สนใจข้อมูลเพิ่มเติมของผลิตภัณฑ์นีโอไลฟ์ คุณภาพ ประโยชน์ และโปรโมชั่น
    ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์เชน นีโอไลฟ์

    ตอบลบ